เรื่องราวที่ผมหยิบมาเขียนในคราวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตัดลงตอ ซึ่งเราจะมาทำการตัดแคคตัสลงจากตอแก้วมังกรกันครับ ซึ่งก่อนที่จะเริ่มบทความ ผมต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยนะครับว่าผมเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการตัดลงตอหรือการล่อรากมากสักเท่าไรนัก นานๆ จะทำสักที
เพราะผมมีความรู้สึกว่า ถ้าจะเลี้ยงไม้กราฟ ผมอยากจะเลี้ยงแบบให้เค้าเจริญเติบโตไปให้มากที่สุด ถ้าเค้าอยู่บนตอแล้วอยู่ดี มีการเจริญเติบโตที่ดี ก็อยากจะให้อยู่ไปแบบนั้น ถ้าไม่เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของเค้า หรือปัญหาอย่างตอเน่า ตอหมดสภาพ ผมก็ไม่อยากจะไปตัดเค้าลงมาจากตอสักเท่าไร เพราะในการตัดลงตอนั้นมันมีความเสี่ยง บางทีตอนเราตัดเค้าลงมาจากตอแล้วเอามาล่อราก มันอาจจะล้มเหลว รากไม่ออก หรือติดเชื้อจนเน่าทำให้เราเสียแคคตัสต้นนั้นไปเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นการตัดลงตอจึงเป็นเรื่องที่ถ้าไม่จำเป็น ผมจะไม่ทำ ผมจึงต้องบอกก่อนเลยว่าความเชี่ยวชาญหรือเทคนิคในการตัดลงตอของผมนั้น ผมรู้ไม่เยอะนะครับ
สำหรับเรื่องราวการตัดลงตอที่ผมจะเขียนในคราวนี้นั้น จะเป็นการตัดลงตอแก้วมังกรในสองแบบ แบบแรกคือการตัดลงตอเหลือแกนตอ ( เหลาแกนตอ ) ส่วนการตัดลงในแบบที่สองนั้นจะเป็นการตัดลงแบบไม่เหลือตอ หรือก็คือการตัดเอาตอออกไปจนหมดไม่ให้เหลือ และปิดท้ายด้วยการล่อรากด้วยหินภูเขาไฟ ซึ่งเนื้อหารวมๆ ของบทความจะเยอะสักหน่อยนะครับ
สำหรับไม้กราฟที่ผมจะนำมาตัดลงในวันนี้นั้น ต้นแรกที่จะทำก็คือเจ้าแคคตัส แอสโตรไฟตั้ม ( astrophytum ) ต้นตามรูปนี้เลยครับ
เจ้าแอสโตรต้นนี้เป็นไม้กราฟที่ผมซื้อมานาน 2-3 ปีน่าจะได้ ซึ่งจริงๆ ผมก็ยังไม่อยากจะจับเค้ามาตัดลงจากตอหรอกนะครับ แต่ด้วยความที่ช่วงหลังๆ เจ้าต้นนี้มีปัญหารากเสียบ่อย จนผมเริ่มเกิดความรู้สึกว่าคงต้องตัดลงแล้วล่ะมั้ง และเจ้าแคคตัสก็มีขนาดใหญ่มากแล้วด้วย ก็เลยตัดสินใจว่าตัดลงตอนนี้เลยก็แล้วกัน ตัดลงตอนที่ไม้ยังแข็งแรงเต่งตึงมันน่าจะโอเคกว่าไปตัดตอนที่ไม้เริ่มป่วยหรืออ่อนแอเหี่ยวแห้ง
**** ก่อนจะไปเริ่มการตัดลง ผมเตือนก่อนดีกว่า เผื่อบางท่านไม่ทราบ
สำคัญเลยนะครับ ในการตัดลงตอนั้น ถ้าเป็นพวกแคคตัสด่างเผือก เช่น พวกยิมโนหัวสี หรือพวกแคคตัสด่างที่ด่างหมดทั้งหัว หัวสีหมดทั้งหัว ผิวของแคคตัสไม่มีสีเขียวหรือสีโทนดำอยู่เลยสักนิดแบบนี้ ไม่ควรตัดลงจากตอนะครับ ตัดลงตอไม่ได้
ด่างทั้งหัว หัวสี ตัดลงไม่ได้นะครับ |
เพราะไม้ที่ด่างหัวสีหมดทั้งหัวจะไม่สามารถที่จะสังเคราะห์แสงด้วยตัวเองได้เนื่องจากไม่มี คลอโรฟิลล์ ซึ่งถ้าเราไปตัดเค้าลงมาจากตอล่ะก็ เค้าจะไม่ค่อยออกราก การเจริญเติบโตจะนิ่งสนิทและจะค่อยๆ เหี่ยวตายลงไปนะครับ เพราะฉะนั้น ยิมโนหัวสีตัดลงไม่ได้นะ ต้องเลี้ยงเค้าบนตอเท่านั้นนะครับ แต่ถ้าเป็นพวกด่างครึ่ง เขียวครึ่ง ด่างกระจาย อะไรแบบนี้สามารถตัดลงตอได้ครับ
ที่ต้องพูดเรื่องนี้นั่นก็เพราะว่ามีคนถามมาเรื่อยๆ ว่าอยากจะตัดยิมโนหัวสีลงจากตอจะทำได้มั้ย จะรอดหรือไม่ และทำยังไง ผมก็เลยคิดว่าอาจจะมีคนไม่ทราบว่าพวกไม้ที่ด่างหมดทั้งหัวมันตัดลงแล้วจะไม่ค่อยออกราก เพราะมันเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ก็เลยต้องเขียนบอกเอาไว้ก่อน
แต่ถ้าเกิดว่าเป็นในกรณีที่คุณเลี้ยงพวกไม้กราฟที่เป็นหัวสีหรือด่างหมดทั้งหัว แล้ววันดีคืนดีเกิดตอเน่า ตอเสีย แล้วจะทำยังไงในเมื่อเค้าตัดลงตอไม่ได้
เท่าที่ผมพอจะบอกได้ในตอนนี้ก็คือ ถ้าตอเน่าแค่บางส่วน ไม่ได้เน่าหมดทั้งตอล่ะก็ ให้ปาดเนื้อของตอส่วนที่เน่านั้นทิ้งไป พอแซะเนื้อที่เน่าออกแล้วจากนั้นก็ผึ่งให้แผลแห้ง ก็สามารถที่จะเอากลับมาลงปลูกใหม่ ซึ่งก็น่าจะพอไปต่อได้อยู่ แต่ถ้าเกิดปัญหาตอเน่าจนไม่เหลือแล้วล่ะก็ ต้องย้ายตอครับ ย้ายหัวแคคตัสเอาไปกราฟต่อบนตออันใหม่ ซึ่งผมขอไม่พูดเรื่องนี้ในตอนนี้ก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวจะยาว
***** เรากลับมาที่เรื่องราวการตัดลงตอของเรากันเลยดีกว่า ผมจะลงมือแล้วนะครับ
ขั้นแรกผมจะทำการตัดตอ ให้เหลือตออยู่ประมาณสัก 4 ซม.
ตามรูปด้านล่างเลยครับ
จากนั้นผมจะค่อยๆ เอามีดปาดเนื้อของตอออกไป
ให้เหลือแต่แกนตอ
เอาเนื้อตอออกให้หมดไม่ให้เหลือเลยนะครับ
การที่เราเหลาแกนตอเหลือเอาไว้นั้น
นั่นก็เพราะว่าตอแก้วมังกรจะมีความพิเศษอย่างนึง ตรงที่แกนตอของเค้านั้นสามารถที่จะออกรากได้
เพราะงั้นการที่เราเหลือแกนตอของเค้าเอาไว้ก็เพื่อที่ว่าจะได้ให้แกนตอของเค้านั้นเป็นจุดที่ออกราก
เพื่อเลี้ยงแคคตัสต่อไป ซึ่งเดี๋ยวพอเราเลี้ยงนานๆ แกนตอจะค่อยๆ
สลายผุพังไปเองเหลือแต่รากล้วนๆ ครับ
( เฉพาะแก้วมังกรนะครับ การตัดลงตอแบบเหลาแกนตอนั้นผมพาดพิงไปที่ตอแก้วมังกรชนิดเดียวเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงตอชนิดอื่นนะครับ เพราะว่าตอชนิดอื่นๆ อย่างพวกตอลูกผสม ตอบลู รวมไปถึงตออีกหลายชนิดจะใช้วิธีการตัดลงแบบเหลาแกนตอแบบนี้ไม่ได้ เพราะแกนตอของตอบางชนิดนั้น มันจะไม่สามารถที่จะออกรากได้อย่างแก้วมังกร เพราะฉะนั้นในการตัดลงตอชนิดอื่นจึงอาจจะไม่สามารถเหลาเหลือแกนตอแบบนี้ได้นะครับ ต้องตัดและขุดตอออกไปให้หมดแล้วเท่านั้นในการตัดลงตอ หรือไม่ก็ต้องใช้วิธีการตัดให้เหลือตอสั้นๆ แล้วฝังตอเอาน่ะครับ ก็เอาเป็นว่าในบทความนี้ผมขอจำกัดเนื้อหาให้อยู่ในส่วนของตอแก้วมังกรนะครับ ส่วนการตัดลงตอชนิดอื่น ในอนาคตผมจะเขียนเป็นบทความแยกย่อยเป็นชนิดของแต่ละตอ ต่อไปครับ )
ว่ากันต่อเลยนะครับ
หลังจากที่เราเหลาเนื้อตอออกไปจนหมด จนแหลือแต่แกนตอแบบนี้เรียบร้อย
บางท่านที่มีพวกยาเร่งรากก็อาจจะมีการทายาเร่งรากเพื่อช่วยกระตุ้นการออกรากให้ดียิ่งขึ้นด้วยนะครับ
( แต่ผมไม่ได้ทาเพราะตอนนั้นยาเร่งรากหมด )
ซึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยขั้นตอนต่อมาก็คือการเอาเจ้าแคคตัสที่เราตัดลงเรียบร้อยแล้วต้นนี้
เอาไปวางผึ่งเอาไว้เพื่อรอให้แผลที่เราตัดลงนั้นแห้ง
ซึ่งการที่เราเอาไปผึ่งเพื่อรอให้แผลแห้งก็เพราะถ้าเอาไปลงปลูกเลยหรือเอาไปล่อรากทันทีเลย
อาจจะเกิดการติดเชื้อขึ้นมาได้
เพราะงั้นการเอาไปผึ่งเอาไว้ก็เพื่อที่จะให้แผลของเค้านั้นแห้งสนิทเสียก่อน
แล้วพอแผลเค้าแห้งเมื่อไรเราค่อยเอาไปล่อรากหรือเอาไปปลูกต่อไปครับ
ซึ่งการเอาไปผึ่งเพื่อรอแผลแห้งนั้น ผมจะวางผึ่งเอาไว้ในที่ร่มรำไร
อย่างน้อย 2 อาทิตย์ขึ้นไป
ไม่ต้องกลัวว่าวางผึ่งเอาไว้นานๆ
เป็นอาทิตย์แล้วเค้าจะเหี่ยวตาย เค้าอยู่ได้สบายๆ ไม่ตายง่ายๆ เพราะอดน้ำหรอกครับ
กระบองเพชรเป็นไม้ที่อดน้ำได้นานมาก ยิ่งถ้าเป็นต้นที่มีขนาดใหญ่ด้วยแล้วล่ะก็
อยู่ได้เป็นเดือนๆ ครับ
เพราะงั้นไม่ต้องไปคิดอะไรมาก
วางผึ่งเอาไว้ยาวๆ เลยครับ อย่างเจ้าต้นนี้เนี่ย ผมบอกเลยตอนที่ผมทำ
ในใจผมคิดเอาไว้ว่าจะวางผึ่งไปเรื่อยๆ ก็กะว่าจะทิ้งเอาไว้เป็นเดือนเลยล่ะครับ
ผมไม่รีบ
ซึ่งถ้าโชคดี หลังจากที่เราวางผึ่งเอาไว้สักระยะ
เค้าอาจจะแทงรากออกมาเองโดยที่เรายังไม่ได้เอาไปลงปลูกเลยด้วย
อย่างเจ้าต้นนี้ ผมวางทิ้งเอาไว้จนลืมไปเลยล่ะครับ
มารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเดือนกว่าเลยทีเดียวครับ ที่ผมวางผึ่งเอาไว้ ( แต่ไม่ต้องผึ่งเอาไว้นานเปฺ็นเดือนอย่างผมก็ได้ครับ วางไว้สัก 2-3 อาทิตย์ แล้วเอาไปล่อรากก็ได้ครับ พอดีผมเป็นคนขี้เกียจเลยวางไว้นานไปหน่อย )
ถ้าดูจากในภาพ สังเกตดีๆ ตอของเค้าออกรากมาเส้นนึงด้วยล่ะครับ ซึ่งนี่อาจจะเป็นกลไกในการต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตต่อไปของเจ้าแคคตัส เค้าก็เลยกระตุ้นตัวเองด้วยการแทงรากออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้ปลูกอยู่ในดินแบบนี้
ซึ่งการที่เค้าออกรากมาแบบนี้
ผมก็คงไม่ต้องไปล่อรากแล้วล่ะครับ ผมว่าเค้าพร้อมที่จะลงปลูกตามปรกติได้แล้วล่ะนะ
เพราะงั้นผมจะเอากลับไปลงปลูกตามปรกติเลยก็แล้วกัน
****** สำหรับท่านที่อยากจะดูเกี่ยวกับการล่อราก
เดี๋ยวท้ายบทความผมจะเขียนวิธีการล่อรากของผมแบบง่ายๆ ที่ผมใช้ เพิ่มเติมเอาไว้ให้นะครับ
สำหรับดินปลูกที่ผมใช้
ผมใช้ดินสูตรคล้ายๆ กับที่ใช้เลี้ยงแคคตัสทั่วไปของผมนั่นล่ะครับ
ซึ่งสูตรดินของผมนั้นยึดหลักที่ว่าดินปลูกแคคตัสควรจะต้องเป็นดินที่มีความโปร่ง
ระบายน้ำได้ดี ไม่สะสมความชื้นมากจนเกินไป เพราะฉะนั้นสูตรดินที่ผมใช้
ผมจึงเลือกใช้สูตรดินที่เน้นโปร่ง
ซึ่งส่วนผสมของดินปลูกของผมนั้น ก็จะเป็น ดินแคคตัส
ผสมหินภูเขาไฟก้อนเล็ก ผสมเพอร์ไลท์ อัตราส่วนผสมก็พอๆ กันครับ
พอดีตอนที่ผมผสมดินผมไม่ได้ใช้อะไรตวงน่ะครับ เลยไม่ได้เป๊ะเท่าไร ตอนผสมผมจะกะๆ เอาว่ามองแล้วมันน่าจะโปร่งระบายน้ำได้ดี
เนื้อดินร่วนละเอียดไม่จับตัวเป็นก้อน ผมก็โอเคแล้วครับ
ซึ่งในการลงปลูกนั้น เรื่องดินปลูกไม้ตัดลง
จะใช้ดินสูตรไหนมีส่วนผสมอะไรยังไงนั้น
เป็นเรื่องที่ไม่ตายตัว แต่ละคนก็จะมีส่วนผสมดินที่ต่างกันไปมากมาย
อย่างสูตรดินที่ผมใช้นั้น อาจจะไม่เหมาะสมกับบางท่านก็เป็นได้นะครับ
เพราะงั้นเรื่องนี้ผมอยากขอให้ทุกท่านอย่าพึ่งเชื่อผมนะครับ
หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนจะดีกว่าครับ
ลงปลูกเรียบร้อย
ในการดูแลไม้ที่พึ่งลงปลูกใหม่ๆ นั้น
ผมจะไม่ให้เค้าโดนแดดจัด ให้เค้าได้รับแดดอ่อนๆ ไปสักระยะ
จนกว่าเค้าจะฟื้นตัวและกลับมาเจริญเติบโตเมื่อไรค่อยเพิ่มแสงที่ได้รับให้มากขึ้นทีละนิด
( เทรนแดด )
ส่วนการรดน้ำ
ผมจะรดต่อเมื่อเห็นว่าดินปลูกแห้งแล้วเท่านั้น
ผมจะดูความชื้นของดินเป็นหลัก ดินแห้งสนิทค่อยรด ถ้ามองแล้วเห็นว่าดินชื้นก็ผ่านไปก่อน
สำหรับการออกรากและการฟื้นตัวของพวกไม้ที่ตัดลงตอนั้น
ในความรู้สึกของผม มันไม่ค่อยแน่นอนเท่าไร บางต้นก็ออกรากช้า ฟื้นตัวช้า
บางต้นก็ฟื้นตัวเร็วออกรากได้ดี บางต้นก็เกเรไม่ยอมออกรากเลยก็มี บอกตรงๆ
เลยว่าการตัดลงตอนั้นเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงนะครับ ไม่ใช่ว่ามันจะสำเร็จไปเสียทุกครั้ง
โอกาสล้มเหลวก็มี อย่างเจ้าต้นนี้ของผมนั้น ผมบอกเลยว่าผมโชคดีมากที่เค้าออกรากไม่ยาก
ก็เลยฟื้นตัวขึ้นมาได้ในเวลาไม่นาน แต่ที่ผ่านๆ มาของผมนั้น
มีเหมือนกันนะครับ ที่เจอกรณีแบบว่าตัดลงตอมาแล้วรากไม่ยอมออก
ไม้นิ่งสนิทไม่ยอมโตเลยก็มีนะครับ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือการตัดลงตอนั้น ถ้าเราตัดสินใจที่จะทำ
เราต้องเผื่อใจไว้ให้กับความล้มเหลวด้วยนะครับ ในการปลูกต้นไม้ไม่มีอะไรที่แน่นอน
ปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอ
เรื่องราวการตัดลงตอแก้วมังกรแบบเหลาแกนตอก็เอาแค่ประมาณนี้ก่อนนะครับ ขอจบเรื่องนี้ลงตรงนี้ และขึ้นเรื่องต่อไปของเรากันต่อเลยดีกว่านั่นก็คือการล่อรากด้วยหินภูเขาไฟ และการตัดลงตอแก้วมังกรแบบตัดไม่เหลือตอ ซึ่งสองเรื่องนี้จะรวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน
การล่อรากคืออะไร ?
การล่อรากก็คือการเอาแคคตัสที่ไม่มีรากหรือรากน้อยไปชำให้ออกราก พอเค้าออกรากเมื่อไร เราค่อยย้ายเอาไปลงปลูกในดิน ความหมายของการล่อรากในความรู้สึกของผมก็น่าจะประมาณนี้
ซึ่งในการล่อรากนั้นก็มีหลายแบบนะครับ แต่แบบที่ผมเคยทำมีแค่แบบเดียวนั่นก็คือการล่อรากด้วยหินภูเขาไฟ
ผมว่าเรามาลองทำกันเลยดีกว่าครับ
สำหรับแคคตัสที่ผมจะใช้ในการล่อรากครั้งนี้นั้นนั่นก็คือเจ้ามายริโอต้นนี้เลยครับ
มายริโอต้นนี้เป็นไม้กราฟบนตอแก้วมังกรเช่นเดียวกัน
แต่การเอาลงจากตอของผมนั้น ผมไม่ตัดลงแบบเหลาเหลือแกนตอ
แต่ทว่าผมใช้วิธีการตัดลงแบบหักลง ไม่เหลือตอเอาไว้
หักลงในความความหมายก็ตามตัวเลยครับ
ผมเอามือจับที่หัวแคคตัส แล้วบิดหักลงมาจากตอครับ
เมื่อหักลงมาแล้ว
ผมก็จะเช็คดูตรงรอยแผลว่ามีเนื้อของตอติดมาด้วยหรือไม่
ถ้ายังมีเนื้อของตอติดมาด้วยล่ะก็ ผมจะเอามีดแซะออกให้หมด
ไม่ให้เหลือเนื้อตอเลยนะครับ
จากนั้นก็ทำเช่นเดียวกันกับเจ้าต้นแรกนั่นก็คือการเอาไปวางผึ่งเอาไว้ให้แผลแห้ง
อย่างน้อย 2 อาทิตย์ขึ้นไปครับ ( ท่านที่มียาเร่งรากก็ทายาเร่งรากร่วมด้วยก็ดีนะครับ )
2-3 อาทิตย์ผ่านไป คิดว่าแผลน่าจะแห้งสนิทเรียบร้อยแล้ว ผมก็จะนำเค้าไปล่อรากต่อเลย
ซึ่งวิธีการล่อรากนั้นก็ง่ายๆ ผมจะเอาหินภูเขาไฟก้อนเล็กมาใส่ในกระถาง
จากนั้นก็นำเจ้าแคคตัสต้นนี้ลงไปปักชำในกระถางใส่หินภูเขาไฟที่เตรียมไว้
จากนั้นก็เอาไปวางเก็บไว้ในที่ๆ มีแสงแดดส่องอ่อนๆ
อย่าให้โดนแดดจัด อย่าให้ตากฝน ให้โดนแดดอ่อนๆ ไปก่อน รอการฟื้นตัวออกรากใหม่ ส่วนการรดน้ำผมก็จะใช้หลักเดิมเลยนั่นก็คือ
รดเมื่อเห็นว่าดินปลูกแห้ง ถ้าดินยังชื้นผมก็จะยังไม่รดจะผ่านไปก่อน
ประมาณนี้ครับสำหรับวิธีการล่อรากของผม
ที่เหลือผมก็จะปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา ถ้าโชคดี เค้าก็ออกรากไว ถ้าโชคไม่เป็นใจก็ออกรากช้า
หรือแย่ที่สุดก็คือไม่ออกรากเลยก็ได้
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเค้าออกรากแล้วหรือยัง
ต้องถอนออกมาดูหรือไม่
ไม่ถอนนะครับ ผมว่าการถอนออกมาดูบ่อยๆ
ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร ไม้มันจะชะงักเสียเปล่าๆ ใช้วิธีการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของต้นของเค้าดีกว่าครับ
อย่างเช่นดูที่ยอดว่ามีการเจริญเติบโตขึ้นหรือไม่ ยอดเดินหรือไม่
ต้นอวบเต่งตึงขึ้นหรือไม่ อะไรแบบนี้ดีกว่าครับ
การล่อรากต้องใจเย็นๆ นะครับ
เรากำหนดไม่ได้ว่ากี่วันรากถึงจะมา บางทีอาจจะต้องใช้เวลาในการรอคอยนานเป็นเดือนเลยก็ได้
ยังไงก็อย่าพึ่งใจร้อนนะครับ ให้เวลากับเค้าสักหน่อย ค่อยเป็นค่อยไปนะครับ
อย่างเจ้าต้นนี้ผมล่อรากทิ้งเอาไว้ยาวๆ เป็นเดือนๆ
เลยล่ะครับ จนผมมั่นใจว่าเค้าออกรากแล้วแน่ๆ เพราะยอดเริ่มเดิน
ต้นมีความสมบรูณ์อ้วนตึง เริ่มมีการเจริญเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน
จนผมเชื่อว่าเค้ามีรากแล้วแน่นอน ทีนี้ก็จะมาทำการย้ายต้นไปปลูกตามปรกติได้เลยครับ
เรามาดูระบบรากของเจ้ามายริโอที่ล่อรากเอาไว้นี้กันเลยดีกว่าครับ
รากเยอะใช้ได้
อาจเป็นเพราะสายพันธุ์ของเค้าด้วยล่ะนะ เพราะมายริโอเป็นไม้ที่ออกรากได้ง่าย
เพราะงั้นในการล่อรากก็เลยให้ผลที่ดี ซึ่งในแคคตัสบางสายพันธุ์มันก็อาจจะไม่ได้ออกรากเยอะขนาดนี้นะครับ
ยิ่งถ้าเป็นพวกไม้ด่างด้วยล่ะก็ บางทีรากมายากและมาน้อยมากเลยล่ะครับ ผมว่าเรื่องแบบนี้ก็ต้องค่อยๆ ดูกันเป็นต้นๆ ไปล่ะนะ
หลังจากนี้ผมก็จะเอาไปลงปลูกตามปรกติครับ รูปแบบการปลูกก็เหมือนเดิม
แบบเดียวกันกับเจ้าต้นแรกนั่นแหละครับ
บทความนี้ก็ขอจบลงตรงนี้ก็แล้วกันนะครับ
ผมว่าน่าจะครบถ้วนแล้วล่ะนะ สำหรับเรื่องราวการตัดลงตอแก้วมังกร แบบเหลาแกนตอ
และแบบหักลงไม่เหลือตอ รวมไปถึงเรื่องของการล่อรากด้วยหินภูเขาไฟ
ซึ่งสุดท้ายผมก็ต้องขอพูดอีกครั้งนะครับว่า ไม่มีอะไรที่แน่นอนในการปลูกต้นไม้
บทความนี้อาจจะนำเสนอในมุมของการตัดลงที่สำเร็จ แต่นอกบทความนั้น
ที่ผมล้มเหลวมันก็มีนะครับ เพียงแค่ไม่ได้เอามาให้ดูเท่านั้น ยังไงก็เผื่อใจเอาไว้ด้วยนะครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ
เพจของเรา https://www.facebook.com/chowcactus
เป็นประโยชน์ที่สุด ขอบคุณค่ะ
ReplyDeleteขอบคุณค่ะ
ReplyDeleteเป็นข้อมูลและการแนะนำที่ยอดเยี่ยมสำหรับมือใหม่แบบดิฉันค่ะชอบมากๆขอบคุณมากนะคะ
ReplyDeleteขอบคุณค่ะเป็นประโยชน์มากๆค่ะ
ReplyDeleteขอบคุณครับ
ReplyDelete