สวัสดีครับ วันนี้ผมมีภาพและเรื่องราวของเจ้าแคคตัสแมมมิลลาเรีย กูลโซเวียนา ( Mammillaria guelzowiana ) หรือเจ้าแมมลูกแมว มาฝากกัน แคคตัสสายพันธุ์นี้มีความน่ารัก ดอกสีสันสดใส ขนาดดอกใหญ่มากๆ การปลูกเลี้ยงนั้น ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก เป็นแคคตัสอีกสายพันธุ์นึงที่น่าสนใจเลยทีเดียวครับ ผมว่าเราไปชมกันดีกว่าครับ
เจ้าแมมลูกแมวต้นนี้ แรกเริ่มตอนที่ได้มานั้น แม่ผมเป็นคนซื้อมาเมื่อช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว แม่ไปเจอเจ้าต้นนี้ขายอยู่แล้วเกิดชอบ แม่บอกว่าดอกสวยดีก็เลยซื้อ ซึ่งราคาก็ไม่แพงเท่าไรครับ
ในภาพนี้คือภาพที่ถ่ายไว้ตอนที่พึ่งได้มาไม่นาน ดอกใหญ่ สีสดใสมากๆ ต้นก็ค่อนข้างใหญ่ มีความสมบรูณ์แข็งแรงดี น่าจะได้เห็นเค้าออกดอกอย่างต่อเนื่อง
แต่ว่าหลังจากที่เค้าออกดอกชุดนี้ไปแล้ว หลังจากนั้นเค้าก็เงียบไปไม่ยอมออกดอกมาให้ได้ชมกันอีกเลย คือต้นมีการเจริญเติบโตปรกติดี ต้นแข็งแรงสดใส แต่ระยะเวลา 4 เดือนต่อมา เค้าไม่มีทีท่าว่าจะออกดอกเลยครับ
ซึ่งผมคิดว่าการที่เค้าไม่ยอมออกดอก มันมีสาเหตุอยู่นะครับ
ภาพประกอบเป็นคนละช่วงเวลากับเรื่องราวที่เล่านะครับ ในภาพนี้คือมาถ่ายทีหลัง |
ย้อนกลับไปตอนที่แม่ผมซื้อเจ้าต้นนี้มา แม่บอกว่าให้เลี้ยงไว้ตรงหน้าบ้าน เค้าจะได้มองเห็น เอาไปไว้ในโรงเรือนเค้ามองไม่เห็น แม่ผมไม่ค่อยได้ขึ้นไปที่โรงเรือนนั่นล่ะนะ
คือต้องบอกว่าที่บ้านผมนั้น ผมทำโรงเรือนปลูกกระบองเพชรอยู่บนดาดฟ้า ซึ่งบนนั้นเป็นจุดที่มีแสงแดดส่องตลอดทั้งวัน เป็นจุดที่เหมาะในการปลูกแคคตัสเป็นอย่างมากเพราะแคคตัสเป็นไม้ที่ชอบแสงแดด ส่วนตรงหน้าบ้านนั้นโดนแดดแค่ครึ่งวันช่วงเช้าถึง ประมาณเกือบเที่ยง ซึ่งแดดเช้าถึงเที่ยงซึ่งมันเพียงพอในการปลูกแคคตัสบางสายพันธุ์ อย่างพวก แอสโตร ยิมโน และอีกบางสายพันธุ์มันเลี้ยงได้สบายๆ แดดสักวันละ 5 ชั่วโมงก็พอให้ไม้เติบโตออกดอกได้ไม่มีปัญหา แต่สำหรับเจ้าแมมลูกแมวนั้น ได้รับแสงแดดแค่ เช้า - สาย ผมคิดว่ามันอาจจะไม่พอเพียงที่จะกระตุ้นการออกดอกของไม้ชนิดนี้ เค้าอาจจะต้องการแสงแดดมากกว่านี้ ถึงจะยอมออกดอกก็เป็นได้ มันก็เลยโตแต่ต้น แต่ไม่ออกดอก
พอคิดไปคิดมาผมก็เลยตัดสินใจ จับเปลี่ยนดิน เปลี่ยนกระถาง แล้วก็ย้ายที่ปลูก เอาขึ้นไปไว้บนโรงเรือนดีกว่า ให้โดนแดดเต็มวัน เผื่อว่าจะออกดอก เพราะว่าไว้ที่เดิมมันก็ไม่เห็นผลอะไรขึ้นมา
ผมเลยจัดการเปลี่ยนกระถางให้เค้าใหม่ ใส่กระถางที่ใหญ่ขึ้น แล้วก็เติมดินใหม่ให้กับเค้า เพราะดินเก่าเป็นดินเดิมที่มาตั้งแต่ตอนซื้อ ก็เลยเอาซะหน่อยดีกว่า แต่ไม่ได้มีการล้างรากตัดแต่งรากนะครับ ผมแค่จับย้ายกระถาง บิเอาดินเก่าออกไปบ้างบางส่วน แล้วก็เติมดินใหม่พร้อมทั้งใส่ปุ๋ยละลายช้า ( ออสโมโค้ท ) ยากันมดกันแมลง ( สตาร์เกิลจี ) ลงไปนิดนึงแค่นั้น แล้วก็ย้ายไปพักไว้บนโรงเรือนครับ
ซึ่งในช่วงที่ย้ายเข้าโรงเรือนใหม่ๆ ก็ต้องมีกระบวนการในการปรับตัว ปรับสภาพอากาศกันเล็กน้อย เพราะในโรงเรือนของผมนั้นโดนแดดเต็มวัน แล้วแดดช่วงกลางวันถึงบ่ายมันร้อนจัดมาก ผมกลัวว่าถ้าเอาไม้ไปวางชนแดดช่วงนั้นตรงๆ ไม้จะทนแดดแรงๆ ไม่ไหว จนต้นเหี่ยวหรือไหม้แดดเอาได้ ก็เลยต้องมีการปรับสภาพอากาศกันนิดนึง โดยในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกที่ย้ายเข้าไปวางในโรงเรือน ผมจะให้เค้าอยู่ใต้สแลนกรองแสงไปก่อน คือในโรงเรือนของผมนั้นมันจะมีโซนที่ผมขึงสแลนกรองแสง 50 % เอาไว้ เป็นจุดที่ผมเอาไว้พักไม้ที่พึ่งมาใหม่ หรือเลี้ยงไม้ที่ทนแดดแรงๆ ไม่ไหวอย่างพวกต้นอ่อนแคคตัสที่ยังอ่อนแอก็จะเอามาไว้โซนนี้เพื่อให้ปรับตัว ซึ่งเจ้าแมมลูกแมวก็ต้องมาเริ่มต้นกันที่นี่ก่อนสักระยะ
ส่วนเรื่องของการรดน้ำนั้นก็ง่ายๆ รดเมื่อเห็นว่าดินแห้งสนิทแล้วเท่านั้น ถ้าดินยังชื้นไม่ต้องรด แมมมิลลาเรียเป็นไม้ที่ทนแล้งได้ดี แต่ถ้ารดน้ำบ่อยไป ชื้นเดินไป มีโอกาสที่จะเน่าตายได้ เพราะงั้นไม่ต้องกลัวเรื่องการอดน้ำ สบายๆ ครับ
หลังจากที่ผมให้เค้าเทรนแดดอยู่ใต้สแลน 2 สัปดาห์ ผมก็จับเจ้าต้นนี้ออกไปวางในจุดที่มีแดดส่องเต็มที่ตลอดทั้งวัน การรดน้ำก็เหมือนเดิม รดเมื่อดินแห้งสนิทแล้วเท่านั้น
ภาพนี้คือตรงตามเหตุการณ์แล้วล่ะครับ |
ประมาณ 1 เดือนต่อมา เจ้าต้นนี้ก็เริ่มแท่งดอกขึ้นมาแล้วล่ะครับ แทงมาชุดแรก 3 ดอกรวด เรียกได้ว่าการย้ายจุดให้เค้าไปอยู่ในที่ๆ มีแดดส่องตลอดทั้งวันนั้นมันเห็นผลชัดเจนเลยครับ จาก 4 เดือนที่ผ่านมาไม่มีดอกเลย พอย้ายมาตรงนี้เดือนเดียวก็ออกดอกซะงั้น
หลังจากนั้นเจาต้นนี้ก็ออกดอกต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ เรียกได้ว่าสำเร็จด้วยดี
ตอนที่เค้าออกดอกผมยกเจ้าต้นนี้ไปให้แม่ผมดูอยู่นะ แล้วก็คุยกันว่า เลี้ยงหน้าบ้านดอกมันไม่มี ต้องย้ายไปไว้บนโรงเรือนถึงจะเหมาะกว่า
เพราะฉะนั้นเจ้าแมมขนแมวต้นนี้ จึงกลายมาเป็นสมาชิกอยู่ในโรงเรือนด้านบนแทน ภายใต้การดูแลของผมต่อไป
ก็ประมาณนี้ครับ สำหรับเรื่องราวเจ้าแมมลูกแมว อาจจะไม่ได้พูดถึงเรื่องราวการปลูกเลี้ยงอย่างละเอียดสักเท่าไร ด้วยความที่เราเขียนเรื่องการปลูกแคคตัส การดูแล บทความต่างๆ ไปเยอะ วันนี้ก็เลยอยากมาเขียนในเรื่องราวสบายๆ หยิบต้นไม้ของแม่ผมมาเขียนกันบ้างเปลี่ยนบรรยากาศ
ก่อนจบเรื่องราวในวันนี้ เราไปคุยกันเรื่องชื่อแมมลูกแมวกันด้วยดีกว่า เพราะบางท่านอาจจะสงสัยว่า เจ้าต้นนี้ชื่อนี้จริงถูกต้องรึเปล่า แมมลูกแมวมันเป็นอีกตัวนึงไม่ใช่หรือ คือต้องบอกว่า เมื่อก่อนผมก็งงครับ เพราะมันจะมีแคคตัสแมมมิลลาเรียที่ถูกตั้งชื่อว่า แมมขนแมว แมมลูกแมว แล้วคือพอไปนั่งดูในเน็ตหรือในเฟสบุ๊ค เจ้า Mammillaria guelzowiana หลายท่านเรียกกันในชื่อว่าแมมลูกแมว แต่ก็จะมีแมมอีกชนิดนึงที่ถูกเรียกว่าแมมลูกแมวเช่นเดียวกันนั่นก็คือ Mammillaria Bocasana ( แมมมิลลาเรีย โบคาซานา ) เจ้าแมมชนิดนี้บางท่านเรียกก็ชื่อว่าแมมลูกแมวเช่นเดียวกัน แต่ส่วนมากจะเรียกกันว่าแมมขนแมว แต่คือชื่อมันทับซ้อนกันอยู่ ซึ่งตัวผมเองก็ไม่แน่ชัดว่าอย่างไหนมันถูกต้องที่สุด เพราะจุดเริ่มผมก็ไม่ทราบที่มาที่ไปว่าใครเป็นคนเริ่มตั้งชื่อ เพราะฉะนั้นในการอ้างอิง ผมก็เลยใช้การถามเอา เวลาไปเจอร้านแคคตัสที่มีแมมสองชนิดนี้ขายผมก็มีโอกาสได้ลองถามชื่อเรียกจากหลายๆ ร้าน หลายๆ สวน ซึ่ง Mammillaria guelzowiana นั้น คนขายหลายร้านที่ผมไปถามจะเรียกชื่อกันว่า แมมลูกแมว ส่วน Mammillaria Bocasana คนขายส่วนมากที่ผมไปถามจะเรียกกันว่า แมมขนแมว ผมถามไปสิบกว่าร้านน่าจะได้ เพราะฉะนั้นผมก็ขออ้างอิงชื่อตามคำตอบส่วนมากที่ผมได้รับมาก็แล้วกันนะครับว่า
เจ้า Mammillaria guelzowiana คือ แมมลูกแมว
ส่วน Mammillaria Bocasana คือแมมขนแมวครับ
และสำหรับความแตกต่างของแมมลูกแมว และแมมขนแมวนั้น ลองดูตามภาพด้านล่างนะครับ
ต้นซ้าย ( Mammillaria Bocasana ) คือแมมขนแมว ส่วนต้นทางขวา( Mammillaria guelzowiana ) คือแมมลูกแมว แมมลูกแมวทรงต้นจะใหญ่กว่าแมมขนแมวมากๆ หนามตะขอจะยาวกว่ามาก และขนาดของดอก แมมลูกแมวก็จะมีขนาดดอกที่ใหญ่กว่าแมมขนแมวหลายเท่าตัวตัว คือแมมสองชนิดนี้มีความแตกต่างกันมากนะครับ แยกไม่ยากนะ
ถ้าท่านอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับแมมขนแมวเพิ่มเติมล่ะก็ ผมเขียนบทความเกี่ยวกับการปลูกแมมขนแมวเอาไว้ด้วยนะ ลองเข้าไปดูกันได้ครับตามลิงก์นี้เลย แมมขนแมว ( Mammillaria Bocasana ) แคคตัสขนฟู ดอกน่ารัก
ก็ประมาณนี้ครับ แล้วพบกันใหม่กับเรื่องราวการปลูกแคคตัสเรื่องต่อไปของเรา
เพจของเรา https://www.facebook.com/chowcactus
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.