เรื่องราวที่จะเขียนถึงในวันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าแคคตัสแอสโตรไฟตั้ม ( Astrophytum ) ต้นในรูปที่เห็นนี้เลยครับ ซึ่งเหตุการณ์นั้นเริ่มตรงที่ผมบังเอิญสังเกตเห็นเจ้าแอสโตรต้นนี้มีอาการเหี่ยว ลำต้นเริ่มจะยุบลงเรื่อยๆ
แต่ในภาพที่ลงไปนี้ไม่ใช่ภาพตอนที่เกิดปัญหาใหม่ๆ นะครับ อันนีเป็นภาพตอนหลังๆ แล้วครับ ตอนแรกไม่ได้เหี่ยวขนาดนี้หรอกนะครับ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ถ่ายภาพเอาไว้ พึ่งจะมาถ่ายเภาพเอาตอนที่มั่นใจว่ามันเริ่มแย่แล้วนี่แหละ
ซึ่งในตอนแรกนั้นผมคิดว่าน่าจะเป็นอาการขาดน้ำ เพราะตอนที่ผมสังเกตเห็นแรกๆ นั้นเป็นช่วงประมาณเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นหน้าร้อน แดดค่อนข้างจะจัด ด้วยความที่สถานที่ปลูกของผมนั้นเป็นจุดที่โดนแดดส่องตลอดทั้งวัน ถึงจะมีการขึงสแลนกรองแสง แต่ด้วยความที่แดดช่วงนั้นแรงมาก และการรดน้ำต้นไม้ของผมนั้นก็ไม่ได้รดบ่อย รดอาทิตย์ละครั้งถ้าอาทิตย์ไหนยุ่งมากๆ หรือไม่ได้อยู่บ้าน ก็จะเว้นเป็นสองอาทิตย์ครั้ง ผมก็เลยคิดว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ว่าที่เค้าต้นเหี่ยวยุบนั้นอาจจะเกิดจากการขาดน้ำเพราะสภาพอากาศ ซึ่งถ้าเป็นแค่การขาดน้ำก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร เดี๋ยวเพิ่มการรดน้ำให้มากขึ้น อัดน้ำเข้าไปก็น่าจะทำให้ต้นกลับมาตึงอีกครั้งได้ในไม่กี่วัน หรือเต็มที่สัก 1-2 อาทิตย์ก็น่าจะฟื้น ผมประเมินสถานการณ์ในช่วงแรกเอาไว้แบบนั้น
แต่หลังจากที่ปรับการดูแลมากขึ้น อัดน้ำและดูสถานการณ์อยู่พักใหญ่ๆ ประมาณเกือบ 3-4 อาทิตย์ต่อมา เค้าก็ยังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด แย่ลงกว่าเดิมเลยก็ว่าได้ซึ่งก็คือภาพที่เห็นนี่แหละครับ ต้นเหี่ยวและยุบมากๆ ตอนนั้นผมก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าไม่ได้เป็นแค่อาการขาดน้ำจากสภาพอากาศ แต่น่าจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับระบบรากอย่างแน่นอน ซึ่งปัญหาเกี่ยวกับระบบรากนั้นมันก็มีได้หลายอาการ รากเน่า รากเสีย เพลี้ยแป้งกินราก รวมไปถึงปัญหาอื่นๆ ซึ่งการที่จะรู้ได้นั้นเราก็จะต้องเทกระถางออกมาดูนั่นแหละว่าเกิดปัญหาอะไร
เพราะฉะนั้นผมก็เลยจับเจ้าต้นนี้เทกระถางออกมา ซึ่งสิ่งที่พบนั้นก็คือเพลี้ยแป้งตัวสีขาวๆ
ที่เห็นเป็นสีขาวๆ ตรงดิน และตามรากนั้น ก็คือเพลี้ยแป้งครับ ภาพถ่ายอาจจะมองไม่เห็นตัวเพลี้ยแบบเป็นตัวๆ ชัดสักเท่าไรนะครับ ผมถ่ายภาพมาได้ไม่ดีเท่าไร แต่ถ้าเวลาคุณเทกระถางแคคตัสออกมาแล้วเจอขาวๆ แบบนี้ ลองมองดูดีๆ นะครับ จะเห็นว่าสีขาวๆ นั้นเป็นตัวเพลี้ยเล็กๆ ที่กำลังเกาะรากดูดน้ำเลี้ยงของรากต้นแคคตัสอยู่
ซึ่งเจ้าเพลี้ยแป้งนี่แหละครับที่เป็นสาเหตุทำให้แคคตัสนั้นเหี่ยวลงเรื่อยๆ รดน้ำยังไงก็ไม่ฟื้น เพราะมันเกาะดูดน้ำเลี้ยง และขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถ้าไม่ถอดกระถางออกมาดูเราจะไม่เห็นตัวของมันเพราะมันหลบอยู่ในดิน ซึ่งถ้าเกิดว่าผมไม่ตัดสินใจเทกระถางออกมา ปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ต้นอาจจะเหี่ยวลงไปอีกเรื่อยๆ และอาจจะทำให้เจ้าต้นนี้นั้นตายลงไปก็เป็นได้ ก็ถือว่าผมยังตัดสินใจได้ทัน แต่ก็ไม่แน่ เพราะต้นยุบไปมากแล้วตอนนั้น ผมก็ต้องลุ้นอยู่พอสมควรเลยครับ
ซึ่งวิธีการรักษาในกรณีที่แคคตัสของเราโดนเพลี้ยแป้งกินรากแบบนี้นั้น
ที่ผมทำทันทีเลยก็คือ เอาดินออกให้หมด ตัดแต่งรากให้กุดในทันที
แล้วเอาดินกับรากที่มีเพลี้ยเกาะอยู่นี้ไปทำลายหรือทิ้งทันทีไม่มีเก็บเอาไว้
ไม่เอากลับมาใช้อีกอย่างเด็ดขาด
อย่างที่เห็นเลยครับว่าผมล้างต้นแล้วตัดแต่งรากจนกุดหมดเลยทีเดียวครับ
ซึ่งก็ไม่ต้องห่วงนะครับว่าตัดรากจนสั้นแล้วจะไม่รอด
เพราะว่าต้นของเค้ายังมีสภาพของต้นที่ยังใช้ได้อยู่
ถึงจะเหี่ยวแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ผมมองว่ายังพอจะกลับมาฟื้นตัวได้
เพราะแคคตัสนั้นเป็นไม้ที่พลังชีวิตค่ออนข้างจะสูง แค่นี้ยังทนไหวไปต่อได้แน่นอน
หลังจากที่ล้างกำจัดเพลี้ยและตัดแต่งรากจนเรียบร้อยแล้วนั้น
ขั้นตอนต่อไปที่ผมทำก็คือการเอาเจ้าต้นนี้ไปแช่ในน้ำยากำจัดเพลี้ยอีกสักรอบ
อัตราส่วนของยาที่ใช้นั้นผมก็จะผสมตามที่ระบุไว้ที่ฉลากข้างขวดของยาเลยครับ สำหรับยายี่ห้อที่ใช้นั้นต้องเรียนตามตรงว่าผมลืมครับว่าตอนนั้นใช้ยี่ห้ออะไร เพราะผมมียาเก็บไว้ใช้หลายยี่ห้อ ประมาณ 4-5 ยี่ห้อเลยครับที่ผมใช้อยู่ และปรกติเวลาใช้ผมจะสลับกันใช้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครึ่งนี้ใช้ยาตัวนี้ ครั้งต่อไปผมก็จะเปลี่ยนไปใช้อีกตัวยานึง สลับกันไปแบบนี้ตลอด เพราะฉะนั้นผมจำไม่ได้จริงๆ ครับ ว่าครั้งนี้เนี่ย ผมหยิบยาขวดไหนมาใช้กันแน่
******* เรื่องยากำจัดเพลี้ย ถ้าท่านต้องการจะถามว่า ยี่ห้อนั้นดีมั้ย ยี่ห้อนี้ได้ผลหรือไม่ ผมขออนุญาตที่จะไม่ฟันธงนะครับ เพราะผมไม่ได้มีความรู้เรื่องยามากพอที่จะแนะนำได้ว่าใช้ยี่ห้อไหนดี ตัวไหนได้ผลกว่ากัน ต้องขอโทษด้วยนะครับ
อัตราส่วนของยาที่ใช้นั้นผมก็จะผสมตามที่ระบุไว้ที่ฉลากข้างขวดของยาเลยครับ สำหรับยายี่ห้อที่ใช้นั้นต้องเรียนตามตรงว่าผมลืมครับว่าตอนนั้นใช้ยี่ห้ออะไร เพราะผมมียาเก็บไว้ใช้หลายยี่ห้อ ประมาณ 4-5 ยี่ห้อเลยครับที่ผมใช้อยู่ และปรกติเวลาใช้ผมจะสลับกันใช้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครึ่งนี้ใช้ยาตัวนี้ ครั้งต่อไปผมก็จะเปลี่ยนไปใช้อีกตัวยานึง สลับกันไปแบบนี้ตลอด เพราะฉะนั้นผมจำไม่ได้จริงๆ ครับ ว่าครั้งนี้เนี่ย ผมหยิบยาขวดไหนมาใช้กันแน่
******* เรื่องยากำจัดเพลี้ย ถ้าท่านต้องการจะถามว่า ยี่ห้อนั้นดีมั้ย ยี่ห้อนี้ได้ผลหรือไม่ ผมขออนุญาตที่จะไม่ฟันธงนะครับ เพราะผมไม่ได้มีความรู้เรื่องยามากพอที่จะแนะนำได้ว่าใช้ยี่ห้อไหนดี ตัวไหนได้ผลกว่ากัน ต้องขอโทษด้วยนะครับ
หลังจากที่แช่ยาทิ้งไว้สัก 10 นาที จากนั้นก็นำออกมาผึ่งเอาไว้ในที่ร่มมีแสงส่องรำไร
อีกประมาณ 2 สัปดาห์
เพื่อรอให้แผลที่เราตัดรากนั้นแห้งสนิทแล้วถึงค่อยเอากลับไปลงปลูกอีกครั้ง
เพิ่มเติมเกี่ยวกับการผึ่งไม้ที่ตัดแต่งราก ในกรณีของแคคตัสที่ต้นเล็กๆ
ที่มีขนาดเล็กมากๆ ไม่เกิน 1-1.5 ซม. ผมจะวางผึ่งเอาไว้ 4 วัน
แต่ถ้าใหญ่ขึ้นมาหน่อย ขนาดประมาณสัก 2-3 ซม. ผมจะวางผึ่งเอาไว้ แค่ 7
วัน แผลที่ตัดแต่งรากก็น่าจะแห้งพร้อมปลูกได้ แต่ถ้าเป็นพวกแคคตัสที่ต้นมีขนาดใหญ่
เกินกว่า 3-4 ซม. ขึ้นไป อย่างเจ้าแอสโตรต้นนี้เป็นต้นที่มีขนาดประมาณ 5-6 ซม. ผมจะวางผึ่งเอาไว้นานหน่อย
ประมาณ 2 อาทิตย์ ถึงค่อยเอากลับมาปลูกอีกครั้ง
สองอาทิตย์ผ่านไป
จะเห็นว่าต้นของเค้าก็ยังอยู่นะครับ อาจจะมีอาการเหี่ยวมากๆ
ต้นโทรมจนหน้าใจหาย แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่นะครับ แค่สองอาทิตย์ไม่ทำให้เจ้าต้นนี้ตายได้อย่างแน่นอน แต่ยังไปต่อไหวแน่นอน
ลงปลูกแล้วครับในภาพนี้
สำหรับการดูแลไม้ที่ลงปลูกใหม่นั้น ช่วงแรกๆ
อย่าให้เค้าโดนแดดแรงๆ นะครับ ถ้าโดนแดดจัดเกินไปเค้าจะฟื้นตัวได้ช้า และอาจที่จะเหี่ยวหนักกว่าเดิมอีกด้วยเพราะแดดจะทำให้ต้นแคคตัสนั้นคายน้ำอย่างหนัก
และเผลอๆ ไม้ที่ปลูกใหม่ ถ้าโดนแดดที่แรงเกินไป อาจเกิดอาการไหม้แดดเอาได้นะครับ
เพราะฉะนั้นช่วงปลูกแรกๆ ให้เค้าได้รับแสงแดดอ่อนๆ ไปก่อนนะครับ
รอจนกว่าเค้าจะเริ่มฟื้นตัวเสียก่อนค่อยเพิ่มแสงแดดที่ได้รับให้มากขึ้นทีละนิด
ส่วนการให้น้ำแคคตัสที่พึ่งผ่านการตัดแต่งรากและลงปลูกใหม่ๆ
ก็อย่าพึ่งไปรดน้ำบ่อยๆ นะครับ เพราะแคคตัสที่พึ่งตัดแต่งรากมานั้น
รากยังกุดไม่สามารถดูดน้ำเอามาใช้ได้นะครับ รดน้ำไปบ่อยๆ
เค้าก็ไม่สามารถเอามาใช้ได้
แต่มันจะกลายเป็นความชื้นที่สะสมในดินจนอาจเกิดโรครา หรือทำให้ต้นติดเชื้อจนเน่าตายเอาได้ด้วย
เพราะฉะนั้นในการรดน้ำ ผมคิดว่าไม่ควรรดน้ำบ่อยเกินไป
รดต่อเมื่อเห็นว่าดินปลูกแห้งสนิทแล้วเท่านั้นนะครับ
หลังการที่ลงปลูกไปแล้ว ช่วง 1-2
อาทิตย์แรกถ้าเค้ายังนิ่งๆ ไม่มีการเจริญเติบโตก็อย่าพึ่งไปกังวลใจนะครับ
ให้เวลาในการฟื้นตัวกับเค้าสักหน่อย เดี๋ยวเค้าจะค่อยๆ ออกรากและฟื้นตัวขึ้นมาทีละนิดเองนั่นล่ะครับ
อย่างเจ้าต้นนี้กว่าที่จะเริ่มฟื้นตัว
ต้นเริ่มจะกลับมาเต้งตึงสมบรูณ์ ก็เกือบเดือนนั่นล่ะครับ
และพอต้นเค้าเริ่มตึง
เริ่มมีการเจริญเติบโตมากขึ้นผมก็เริ่มขยับการดูแลให้เค้าค่อยๆ
ได้รับแสงแดดมากขึ้นทีละนิด ( เทรนแดด ) จนเมื่อเห็นว่าต้นเค้ากลับมาสมบรูณ์อีกครั้งผมก็เลี้ยงตามปรกติเหมือนเลี้ยงแคคตัสทั่วๆ
ไปเช่นเดิมแล้วล่ะครับ
หลังจากที่เค้าฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง
และกลับไปอยู่ในการปลูกเลี้ยงตามปรกติ
ก็เริ่มจะกลับมาออกดอกให้ได้ชมกันแล้วล่ะครับ ซึ่งถ้าให้นับก็ประมาณ 1 ครึ่ง หลังจากที่ผมตัดแต่งรากไปน่าจะได้
และหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วครับ
เค้ากลับมาเจริญเติบโตสมบรูณ์ดี ไม่มีปัญหาอะไร ออกดอกตามปรกติ สดใสดีครับ
สำหรับการป้องกันปัญหาเพลี้ยหรือแมลงมาแอบในดิน กัดกินรากแคคตัสนั้น พูดตามตรงเลยนะครับว่าผมไม่ค่อยเชี่ยวชาญเท่าไร แต่เคยมีคนแนะนำมาว่าถ้าจะป้องกันพวกเพลี้ยแป้งในดินต้องระวังพวกมดให้ดี เพราะเพลี้ยแป้งนั้นจะมีพาหะที่นำมาคือมด โดยเฉพาะมดดำตัวเล็กๆ ซึ่งผมค่อนข้างเห็นด้วยเลยว่าจริง มดดำตัวเล็กๆ เป็นพาหะในการนำเพลี้ยแป้งมาสู้แคคตัสได้จริงๆ เพราะจากที่เคยสังเกต เวลาที่ช่วงไหนมีพวกมดดำตัวเล็กๆ เข้ามาป้วนเปี้ยนทำรังอยู่ตามประถางแคคตัสหรือวนเวียนอยู่ในโซนที่ผมปลูกแคคตัส ไม่นานหลังจากนั้นผมมักจะเจอปัญหาเพลี้ยแป้งเกาะตามรากแคคตัสตามมาทุกที
เพราะฉะนั้นต้องระวังอย่าให้สถานที่ปลูกนั้นมีมดเข้ามาแอบแฝง ซึ่งต้องบอกตรงๆ เลยว่าผมทำไม่ได้หรอก ที่บ้านผมปลูกต้นไม้เป็นจำนวนมาก ปลูกต้นไม้หลายชนิด ไม่ใช่แค่แคคตัสเท่านั้นยังมีอีกเยอะซึ่งมันเป็นข้อจำกัดที่ผมไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ ครับเรื่องนี้ เท่าที่พอจะทำได้ก็เพียงแค่หายามาโรยป้องกันเอาไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่สุดท้ายพอเผลอเมื่อไรก็มีมดเข้ามารบกวนอยู่ตลอดนั่นแหละครับ ซึ่งผมก็ได้แต่ต้องค่อยๆ จัดการกันไป
เพิ่มเติมเรื่องยาป้องกันเพลี้ยในดินอีกสักนิดนึงก็แล้วกัน มียาอยู่ยี่ห้อนึงชื่อว่า สตาร์เกิลจี ซองสีเขียว หรือกระปุกสีเขียว มีขายตามร้านขายอุปกรณ์การเกษตรทั่วไปเลยครับ ยาตัวนี้เป็นยาที่ใช้สำหรับโรยเพื่อป้องกันปัญหาเพลี้ยแป้งในดิน ตัวยาเป็นเม็ดเล็กๆ สีออกม่วงๆ วิธีการใช้นั้นก็ง่ายๆ โรยบนดิน หรือผสมกับดินปลูก ถ้ากระถางเล็ก กระถาง 2-3 นิ้ว ผมจะใส่กระถางละประมาณครึ่งช้อน ถ้ากระถางใหญ่ 4 นิ้วขึ้นไปก็ 1 ช้อน ช้อนที่ซองหรือกระปุกยานั้นแถมมานั่นแหละครับ เวลาเราซื้อยาตัวนี้มาพอแกะซองหรือเปิดกระปุกออกมา ข้างในจะมีช้อนตวงยาแถมมาด้วย ใส่เดือนละครั้ง หรือถ้าเราเป็นคนที่ผสมดินปลูกแคคตัสเองแล้วล่ะก็ ตอนที่เราผสมดินก็ใส่ยาลงไปตอนระหว่างผสมดินเลยก็ได้ครับ ซึ่งผลของยาตัวนี้นั้น จะดีไม่ดียังไง ป้องกันเพลี้ยได้ผลสำเร็จขนาดไหน อันนี้ผมก็ไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนนะครับ เพราะถึงผมจะเคยใช้มาบ้าง แต่ต้องบอกเลยว่าผมใช้ไม่บ่อยเท่าไร ก็เลยพูดไม่ได้เหมือนกัน แต่น้องผมซึ่งชอบปลูกกุหลาบ บอกมาว่าบางคนที่ปลูกกุหลาบก็ใช้ยาตัวนี้โรยในกระถางกุหลาบเพื้อป้องกันพวกเพลี้ยในดิน ซึ่งก็ให้ผลที่ดีเลยทีเดียว แต่ยังไงผมขอแนะนำให้ท่านลองหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนนะครับ เรื่องยาอย่างที่บอกว่าผมไม่ค่อยรู้เท่าไร
********* ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ และพอดีว่าคุณมีแคคตัสที่มีอาการต้นเหี่ยว คุณกำลังสงสัยว่าแคคตัสของคุณนั้นของคุณนั้นเป็นอะไร อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปนะครับ ว่าอาการแคคตัสต้นเหี่ยวของคุณนั้นมันเป็นเพราะโดนเพลี้ยแป้งกินรากอย่างเช่นในบทความนี้ อย่าพึ่งตัดสินโดยทันทีว่าต้องเป็นปัญหาแบบเดียวกันแน่นอน ผมอยากให้คุณใจเย็นๆ และค่อยๆ พิจารณาดูก่อนนะครับ
เพราะอย่างที่บอกไปตอนต้นบทความว่าอาการแคคตัส ต้นเหี่ยว โคนเหี่ยว ต้นทีรอยยุบนั้น มันมีสาเหตุในการเกิดได้เยอะแยะมากมาย ทั้งเบาและหนัก บางทีการที่แคคตัสของท่านมีรอยเหี่ยวเกิดขึ้นนั้น อาจเป็นเพราะว่าขาดน้ำ ท่านไม่ได้รดน้ำหลายวันก็เลยเหี่ยวก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าแดดร้อนจัด อย่างช่วงหน้าร้อนแดดแรงมากๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการเหี่ยวก็ได้ ซึ่งอาการแบบนี้ รดน้ำก็หาย ให้เวลาเค้าฟื้นตัวอีกสักนิดก็จะกลับมาปรกติได้
หรืออีกสาเหตุนึงที่ทำให้แคคตัสเหี่ยวนั้น ก็คือกรณีของแคคตัสที่พึ่งจะเปลี่ยนดินใหม่ๆ หรืออาจจะเป็นกรณีที่ท่านพึ่งจะซื้อแคคตัสมาจากในเน็ต ส่งมาแบบล้างราก ต้องเอามาลงปลูกใหม่อีกรอบ พวกไม้ในลักษณะแบบนี้ ตอนที่เราลงปลูกเค้าใหม่ๆ หรือตอนที่พึ่งเปลี่ยนดินเปลี่ยนกระถางใหม่ๆ ในช่วงแรกๆ รากของเค้ายังไม่เดิน ซึ่งเมื่อรากยังไม่เดินหรือยังต้องการการพักฟื้นอยู่ เค้าก็ยังไม่สามารถดูดน้ำหาอาหารในดินเอามาใช้ได้ ก็เลยอาจจะทำให้ในการปลูกช่วงอาทิตย์แรกๆ นั้นต้นอาจจะมีอาการเหี่ยวเกิดขึ้นได้ ยิ่งโดยเฉพาะถ้าท่านนำแคคตัสที่พึ่งปลูกใหม่ๆ เอาไปตากแดดแรงๆ ด้วยแล้วล่ะก็ มันก็ยิ่งจะเหี่ยวหนักชัดเจนมากขึ้นไปอีก เพราะรากยังไม่ฟื้นแต่ต้องไปโดนแดดแรงๆ ซํ้า ต้นไม้จะเกิดอาการคายน้ำอย่างหนักจนเหี่ยว เพราะฉะนั้นพวกไม้ปลูกใหม่ เปลี่ยนดินเปลี่ยนกระถาง หรือพวกไม้ล้างรากก็เลยเกิดอาการต้นเหี่ยวได้ง่าย แต่เราก็พอที่จะผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ไม่ยาก แค่ช่วงแรกหลังจากปลูกอย่าพึ่งให้โดนแดดจัด ให้เวลาในการฟื้นตัวกับเค้าสัก 2 สัปดาห์ เมื่อเค้าเริ่มจะออกรากใหม่ขึ้นมา รากใหม่ๆ สดๆ จะค่อยๆ ดูดน้ำและอาหารมาเสริมการเจริญเติบโตให้เค้าอีกครั้ง และต้นจะกลับมาเต่งตึงเหมือนเดิมเองนั่นล่ะครับ เหมือนอย่างเช่นเจ้าแอสโตรในบทความนี้ที่ตอนก่อนลงปลูกต้นเหี่ยวมากๆ แต่พอลงปลูกไปแล้วรากเริ่มงอกต้นก็จะค่อยๆ กลับมาเต่งตึง เติบโตไปทีละขั้น อย่างที่เห็นเลยครับ
แต่นอกเหนือจากอาการต้นเหี่ยวที่เกิดจากการขาดน้ำ หรือไม้พึ่งเปลี่ยนดิน เปลี่ยนกระถาง ซึ่งเป็นอาการที่ไม่หนักหนาอะไร ก็มีอาการต้นเหี่ยวที่เกิดจากปัญหาที่ค่อนข้างจะหนัก ซึ่งจำเป็นต้องเทกระถางออกมาล้างรากเพื่อดูอาการโดยละเอียดก็มี อย่างเช่นรากเน่า หรือเพลี้ยแป้งเกาะกินรากอย่างในบทความนี้ หรืออาจจะเป็นโรคหรือปัญหาที่เกิดจากสาเหตุอื่นนอกเหนือจากที่ผมกล่าวไปทั้งหมดนี้ก็เป็นไปได้นะครับ ซึ่งบางทีเรื่องพวกนี้บางทีมันก็ตอบยาก อย่างแคคตัสของผมบางต้นที่เลี้ยงมากับมือ คิดว่าดูแลเป็นอย่างดีไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรได้แต่จู่ๆ ก็ตายแบบทำเอางงไปเลยก็มี เพราะปัญหาในการปลูกแคคตัสนั้นมันมีมากมายจริงๆ ครับ ซึ่งตัวผมก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไร ผมเป็นแค่คนชอบปลูกแคคตัสธรรมดาคนนึงเท่านั้น ผมไม่ได้รู้อะไรเยอะ ผมเขียนบทความจากบันทึกการปลูกต้นไม้ของผมที่ผ่านมาเท่านั้น ยังมีสิ่งที่ผมไม่รู้และไม่เคยเจออีกมากมายจริงๆ ครับ
เรื่องราวการปลูกต้นไม้นั้นเป็นเรื่องที่กว้าง ข้อมูลในการปลูกและปัญหาต่างๆ นั้นมีมากมาย ในการหาข้อมูลเพื่อศึกษาในเรื่องของสายพันธุ์ หรือข้อมูลประกอบการปลูกการดูแลต้นไม้ หรือการที่จะแก้ปัญหาในการปลูกต้นไม้ที่ท่านเจอนั้น ผมอยากให้ท่านลองหาข้อมูลจากหลายๆ ด้าน จะซื้อหนังสืออ่านก็ดี หรือจะลองเสิร์ชหาข้อมูลจากหลายๆ เว็บไซต์ แล้วนำข้อมูลจากหลายๆ แหล่งมาประกอบการพิจารณาก็เป็นเรื่องที่ดี หรือถ้าอย่างในเฟสบุ๊คก็มีเพจดีๆ หรือมีกลุ่มในเฟสบุ๊คที่มีผู้คนเก่งๆ มากมายสร้างสรรค์แบ่งปันเรื่องราวที่ดีๆ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปลูกต้นไม้อยู่เยอะเลยครับ ลองค่อยๆ อ่าน ดูไปเรื่อยๆ หรือถ้ามีข้อสงสัยตรงเรื่องไหนก็ลองสอบถามดูจากหลายๆ ที่ แล้วนำข้อมูลจากหลายๆ ที่นั้น มาประกอบการตัดสินในใจ มันจะดีต่อการปลูกต้นไม้ของท่านอย่างแน่นอนครับ
แล้วใหม่กับบทความต่อไป ขอให้สนุกกับการปลูกต้นไม้นะครับ
เพจของเรา https://www.facebook.com/chowcactus
ขอบคุณค่ะ
ReplyDeleteขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีค่ะ
ReplyDeleteโดนเพลี้ยในดินเหมือนกันค่ะ ตัดรากผึ่งมาหลายสัปดาห์แล้ว ที่ร้านบอกรอให้รากงอกมาก่อนค่อยปลูกลงดิน แต่นานแล้วก็ไม่มีวี่แวว ปลูกลงดินเลยได้ไหมคะ
ReplyDeleteเก่งจังเลยน้องฟื้นกลับมาได้เราพึ่งประสบปัญหานี่ แอบเสียใจ
ReplyDeleteขอบพระคุณแทนแคคตัสด้วยค่ะ ข้อมูลได้ช่วยชีวิตมันและทำให้เจ้าของแคคตัสมีกำลังใจเพิ่มอีก :)
ReplyDeleteขอบคุณมากเลยครับ กำลังเจอปัญหาแบบนี้เลย
ReplyDelete